ผิวคล้ำเสียจากแดดย่อมเกิดได้อย่างง่ายดายในปัจจุบัน เพราะแสงแดดที่ร้อนระอุในทุกๆ วัน หากสาวๆ ไม่ทาครีมกันแดดป้องกันรังสี UV ปัญหาผิวคล้ำเสีย ผิวไหม้แดด นำมาซึ่งริ้วรอยก่อนวัยย่อมมาเยือนแน่นอน แต่ 7 ข้อเกี่ยวกับการเลือกใช้ครีมกันแดดอย่างเต็มประสิทธิภาพนี้จะช่วยให้คุณทาครีมกันแดดได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น เพื่อการปกป้องรังสี UV ได้อย่างเต็มที่ มาดูกันค่ะว่าต้องทำอย่างไร
7 ข้อควรรู้! กับการทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวคล้ำเสีย
1.ควรเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิว
โดยเฉพาะสาวผิวมันและผิวแพ้ง่าย แนะนำให้เลือกทาครีมกันแดดที่เป็นเนื้อบางเบาเพื่อง่ายต่อการซึมซาบลงสู่ผิวอย่างล้ำลึก และยังลดโอกาสในการอุดตันรูขุมขน แนะนำครีมกันแดดรูปแบบเจลหรือเซรั่ม ส่วนสาวผิวแห้งหรือผิวผสม แนะนำครีมกันแดดเนื้อโลชั่นหรือเนื้อครีมที่ให้ความเข้มข้น จะได้ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นในตัวพร้อมๆ กัน
2.เลือกใช้ค่า SPF ที่เหมาะสม
เชื่อว่าสาวๆ หลายคนอาจจะมีข้อสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าการเลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสมต่อการป้องกันรังสี UV อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้น ควรเลือกใช้ค่า SPF เท่าไรจะจะดี? อันที่จริงแล้ว สำหรับสาวที่ใช้ชีวิตภายในบ้านหรือนนั่งทำงานอยู่แต่ภายในอาคาร ออฟฟิศ ซึ่งไม่ค่อยได้เจอแสงแดดมากเท่าใดนัก แนะนำให้เลือกทาครีมกันแดดค่า SPF 15-30 ก็เพียงพอแล้วค่ะ สำหรับสาวที่มีกิจกรรมนอกบ้าน อาจต้องตากแดดบ่อย แนะนำให้ทาครีมกันแดดค่า SPF 30-50 ขึ้นไป และควรทาซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้การปกป้องรังสี UVA และ UVB เป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด
3.ทาครีมกันแดดทุกวันแม้วันที่ไม่มีแสงแดด
สาวๆ เชื่อมั้ยคะว่าแม้ในวันที่ไม่มีแดดออก อาจจะเป็นวันที่แดดร่มลมตกหรือวันฝนตกก็ตาม ก่อนออกจากบ้านคุณก็ต้องทาครีมกันแดดอยู่เสมอทุกครั้ง เพราะรังสี UV สามารถทะลุผ่านก้อนเมฆและปะทะกับผิวของคุณได้อย่างโดยตรงเช่นกัน เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งชะล่าใจคิดไปเองเด็ดขาด ว่าแม้ไม่มีแดดก็จะไม่มีรังสี UV นี่เป็นความคิดที่ผิดและยังทำให้คุณมีผิวคล้ำเสียจากแดดได้อีกด้วย
4.ทาครีมกันแดดให้เพียงพอกับสภาพผิวตามร่างกาย
จริงอยู่ที่ครีมกันแดดราคาแพง ซึ่งด้วยเพราะความอยากประหยัดจึงทำให้สาวๆ หลายคนหันมาทาครีมกันแดดในปริมาณน้อย ซึ่งไม่เพียงพอกับการป้องกันรังสี UV อย่างทั่วถึงก็เป็นได้ ดังนั้น แนะนำให้ทาครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสม โดยทาให้ได้ทั่วถึงทั้งสภาพผิวของร่างกาย ที่สำคัญห้ามละเลยในส่วนที่ผิวเสี่ยงไหม้ง่ายจะดีที่สุด นั่นก็คือ ผิวจมูกและหลังเท้า
5.ระยะเวลาในการทาที่เหมาะสม
ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 20-30 นาทีจะดีที่สุด เพื่อให้เนื้อครีมซึมซาบลงสู่ผิวชั้นในได้อย่างล้ำลึก และทำหน้าที่ในการปกป้องรังสี UV จากแดดอย่างเต็มที่ก่อน และในระหว่างวัน ควรพิจารณาทาครีมกันแดดจากกิจกรรมที่คุณทำ เช่น ตากแดดนานๆ บ่อยๆ ก็ควรพกพาครีมกันแดดไว้ทาติดตัว โดยทาทุกๆ 90 นาทีถึง 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะคนที่มีกิจกรรมกล้างแจ้ง มีเหงื่อออกหรือเพิ่งขึ้นจากน้ำก็ควรรีบทาครีมกันแดดโดยเร็วทันที
6.การเลือกครีมกันแดดชนิดน้ำ
สำหรับสาวๆ ที่มีกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับน้ำ หรืออาจไปว่ายน้ำ แนะนำให้คุณเลือกใช้ครีมกันแดดชนิดที่ช่วยป้องกันน้ำได้ โดยก่อนซื้อให้พิจารณาอ่านฉลากที่ระบุว่า “waterproof” ครีมกันแดดชนิดนี้จะช่วยป้องกันรังสี UV ได้นานประมาณ 80 นาที แต่หากบนฉลากระบุว่า “water resistant” นั่นหมายความว่า ครีมกันแดดชนิดนั้นๆ สามารถปกป้องผิวได้ประมาณ 40 นาที และที่คุณควรรู้ก็คือ การเลือกใช้ครีมกันแดดประเภทสเปรย์ฉีดพ่นมักจะถูกล้างออกได้ง่าย ดังนั้น แนะนำให้เลือกทาชนิดเนื้อครีมหรือโลชั่นจะดีกว่า
7.ครีมกันแดดอยู่ได้นานกี่ปี?
ครีมกันแดดที่ซื้อมาใหม่ หากยังไม่เคยเปิดใช้งานจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 3 ปี โดยสังเกตได้นับจากวันที่ผลิต แต่หากเปิดใช้แล้วจะมีอายุนับจากวันเปิดใช้ประมาณ 1 ปี หากระยะเวลานานเกินกว่านั้นแล้ว ประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดดจะลดน้อยลงตามระยะเวลานั่นเอง ขณะเดียวกัน ครีมกันแดดที่หากใช้งานยังไม่ถึง 1 ปี หากเก็บรักษาไม่ดี โดยอาจจะตั้งวางครีมกันแดดในจุดที่มีแสงแดดส่องหรือวางในที่ที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงบ่อยๆ นอกจากประสิทธิภาพในการปกป้องผิวยังลดลงแล้ว ยังทำให้เนื้อครีมเปลี่ยนสี มีกลิ่นและหมดอายุการใช้งานก่อน 1 ปีได้ด้วย ซึ่งหากสาวๆ พบว่าครีมกันแดดมีสภาพดังกล่าว แนะนำให้เลิกใช้แล้วซื้อขวดใหม่มาใช้แทนจะดีที่สุด
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับเคล็ดลับการเลือกทาครีมกันแดดอย่างเหมาะสม เพื่อการปกป้องผิวจากรังสี UV อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ทำให้ผิวหมองคล้ำเสียจากแดด นำคำแนะนำตามนี้ไปทำตามทุกวัน รับประกันค่ะว่าผิวสาวของคุณจะไม่มีทางหมองคล้ำง่ายแน่นอน